วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

PaaS "Platform as a Service"


PaaS ย่อมาจาก Platform as a Service เป็นการเช่าฮาร์ดแวร์, operating systems, storage และ network capacity บน Internet ซึ่งเป็นรูปแบบการให้บริการโดยให้ลูกค้าเช่าเซิฟเวอร์เสมือน (virtualize servers)
PaaS เป็นผลที่เกิดขึ้นจากแนวคิดของ Saas ที่กล่าวไว้ข้างต้น โดย Paas ก็มีข้อดีอยู่หลายอย่างสำหรับ Developers อย่างเช่นการปรับเปลี่ยน system features สามารถเปลี่ยนและอัพเกรดได้อย่างรวดเร็ว ทีมงานที่ทำงานกระจายกันออกไปก็สามารถทำงานร่วมกันบน software development projects เดียวกันได้อย่างสะดวกเพราะมันสามารถรับข้อมูลจากทั่วโลกได้อย่างไรพรมแดน แถมยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบด้วย


IaaS "Infrastucture as a Service"


IaaS ย่อมาจาก Infrastucture as a Service เป็นรูปแบบที่องค์กรใช้อุปกรณ์จาก outsource ที่คอยซัพพอร์ตการดำเนินการ รวมทั้ง Storage, Hardware, Servers และเครือข่าย ผู้ให้บริการจะเป็นเจ้าของอุปกรณ์และรับผิดชอบการทำงาน การบำรุงรักษา โดยผู้ใช้บริการก็เลือกจ่ายตามการใช้งานจริง

คุณลักษณะของ IaaS (ขอใช้ภาษาอังกฤษนะครับ น่าจะเข้าใจตรงกันมากกว่า)
  • Utility computing service and billing model.
  • Automation of administrative tasks.
  • Dynamic scaling.
  • Desktop virtualization.
  • Policy-based services.
  • Internet connectivity.

•             IaaS หรือ Infrastructure as a Service เป็นการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับระบบการให้บริการต่างๆ ผ่านทางระบบเครือข่าย โดยผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์มาติดตั้งเอง อีกทั้งไม่จำเป็นต้องจ้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเพื่อมาดูแลรักษาระบบให้ทำงานได้ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น การให้บริการด้านเซิร์ฟเวอร์เก็บข้อมูลจากผู้ให้บริการ IaaS ลูกค้าที่ใช้บริการดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของตนเอง รวมถึงสามารถบริหารจัดการข้อมูลด้วยตนเองได้ ผ่านทางระบบเครือข่ายความเร็วสูง ซึ่งปัจจุบันนี้ความเร็วของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยก็ได้พัฒนาไปสูงมากจนกระทั่งไม่ใช่อุปสรรคของการสื่อสารใดๆ อีกต่อไป

         ข้อดีของบริการ IaaS ก็คือ ผู้ให้บริการจะเป็นผู้จัดเตรียมฮาร์ดแวร์และระบบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ไฟร์วอลล์ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นที่ลูกค้าต้องการใช้งาน อีกทั้ง ผู้ให้บริการ IaaS ยังมีหน้าที่ต้องดูแลข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์ให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอ ป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดๆ ทั้งการเข้าถึงตัวเครื่องเซิร์ฟเวอร์โดยตรง หรือการเข้าถึงจากภายนอกผ่านทางระบบเครือข่าย นอกจากนี้แล้ว ยังต้องจัดเตรียมระบบสนับสนุนต่างๆ ที่พร้อมให้การบริการมีความต่อเนื่องเสมอไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือภัยจากธรรมชาติอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้บริการ IaaS จึงต้องมีศักยภาพและความเชี่ยวชาญสูง จึงสามารถให้บริการกับลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

        สำหรับบริการต่างๆ ที่ผู้ให้บริการ IaaS สามารถจัดเตรียมเพื่อให้บริการกับลูกค้านั้นมีอยู่หลากหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งบริการทุกประเภทจะได้รับการดูแลจากช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ อีกทั้งโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีฝ่ายสนับสนุนการทำงานที่พร้อมให้บริการกับลูกค้าตลอดเวลา 24 ชั่วโมง โดยบริการต่างๆ ที่กลุ่มลูกค้าสามารถเลือกใช้ได้ อาทิ การให้บริการ Data Center, Virtual Private Server และ Cloud Security System โดยมีตัวอย่างของรายละเอียดดังนี้
      • Data Center ลูกค้าผู้ใช้บริการจะสามารถใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์โดยที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งระบบต่างๆ ด้วยตนเอง เพียงแค่มีการเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปยังผู้ให้บริการ ทั้งนี้ผู้ให้บริการจะทำการจัดเตรียมระบบตามที่ลูกค้าร้องขอ
      • Virtual Private Server ในกรณีที่ลูกค้าต้องการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์เพื่อดำเนินการใดๆ ในองค์กร หากต้องการประสิทธิภาพสูงสุด อาจเลือกใช้บริการ IaaS จากผู้ให้บริการที่มีความชำนาญกว่า ทั้งนี้จะได้เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงพอต่อความต้องการขององค์กร อีกทั้งมีผู้เชี่ยวชาญดูแลความปลอดภัยทุกด้านตลอดเวลา เพียงแค่การเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายจากองค์กรไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยที่ผู้ให้บริการจัดไว้

        ประโยชน์สำคัญที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้บริการ IaaS ก็คือความคุ้มค่าและความปลอดภัย โดยความคุ้มค่านั้นเกิดขึ้นเพราะลูกค้าสามารถเลือกประเภทการบริการที่ต้องการได้เอง ไม่ว่าจะเป็นขนาดพื้นที่ ความเร็วของฮาร์ดแวร์ ความเร็วของแบนด์วิดธ์ หรือบริการเสริมอื่นๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ให้บริการก็มักจะคิดค่าใช้จ่ายตามสัดส่วนที่ลูกค้าขอใช้บริการ แตกต่างจากการลงทุนติดตั้งระบบต่างๆ ทั้งหมดด้วยตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องลงทุนด้วยทรัพยากรจำนวนมาก แต่ในทางปฏิบัติแล้วมักจะไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ หรือในกรณีที่เลือกใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีคุณสมบัติต่ำเกินไปก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการใช้งานต่อเนื่องตามมาอีกด้วย สำหรับประเด็นในเรื่องความปลอดภัยนั้น เนื่องจากผู้ให้บริการมักจะมีทรัพยากรที่พร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบุคลกรที่มีความเชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงสามารถให้บริการด้วยความปลอดภัยสูงสุดตลอดเวลา 


       
           

SaaS “Software as a Service”


    
Saas เป็นคำย่อมาจาก Software as a service เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้ใช้งานสามารถเรียกใช้งานซอฟแวร์ (Software) ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต (Internet) โดยไม่ต้องทำการลงซอฟแวร์ (Install) และดูแลรักษา (Maintenance) อย่างเช่น การต้องมาคอยแบคอัพ (Backup) ข้อมูลป้องกันข้อมูลหาย เป็นต้น จะเห็นว่าแนวคิดบริการ Saas นั้นจะทำให้ผู้ใช้เพียงแค่เชื่อมต่อเครือข่ายก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องสนใจความซับซ้อนภายในของซอฟแวร์ และยังไม่ต้องสนใจการดูแลรักษาฮาร์ดแวร์อีกด้วย

     SaaS ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ซื้อเนื่องจากการจะใช้ซอฟต์แวร์บางประเภทเช่น ERP, CRM มักจะมีราคาค่อนข้างสูง และจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ Hardware เพิ่มเติม เช่น Server, Harddisk นอกจากนี้ธุรกิจหรือองค์กรยังต้องเตรียมพร้อมค่าใช้จ่าย ในการดูแลรักษา (Maintenance Cost) ในระยะยาวซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายจุกจิกไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างทีมงาน IT ค่า Backup ข้อมูลค่าเสื่อมของอุปกรณ์ หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายในการทำสัญญา ประกันความเสียหายให้กับ Server เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดมีความยุ่งยาก และใช้เวลาในการเตรียมการค่อนข้างนานแต่ SaaS เปลี่ยนความยุ่งยากทั้ง หมดเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องง่ายเพราะผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลฐานข้อมูล และระบบต่างๆให้พร้อมใช้งานได้ทันที 

ลักษณะผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ SaaS     ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ประเภท SaaS ทำหน้าที่เหมือนเป็น Host Application โดยเปิดสิทธิ์ให้ลูกค้า (End User) จากทั่วโลกเข้ามาแชร์ การใช้งานซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ร่วมกันผ่านทางเว็บเบราเซอร์ โดยใช้ Username และ Password เพื่อระบุความเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์นั้นๆ เพื่อเข้าสู่ระบบในการใช้งานแต่ละครั้ง ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเพิ่มข้อมูลต่างๆ เข้าสู่ระบบและเรียกดูได้ในภายหลัง เมื่อการใช้งานเสร็จสิ้นก็แค่ทำการ Log Out ออกจากระบบ ระบบก็จะถูกปิดและรอการเรียกเข้าใช้ใหม่ในครั้งต่อไป

     ตัวอย่างของซอฟต์แวร์ประเภท Saas ที่เป็นบริการฟรี เช่น Web-based Email Service ต่างๆ เช่น Hotmail, Gmail, Yahoo, Facebook, Twitter, eBay, Amazon ที่มีการเก็บโปรแกรมและข้อมูลต่างๆไว้ที่ Host แล้วให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ application ต่างๆ ผ่านทางเว็บได้ หรือตัวอย่างบริการซอฟต์แวร์ SaaS ที่คิดค่าบริการและได้รับความนิยม เช่น NetSuite, Salesforce, Thinkfree, Zimbra, Zoho, CRMOnDemand ที่คิดค่าบริการการเข้าใช้ซอฟต์แวร์ตามลักษณะการใช้งาน

คุณสมบัติหลักของซอฟต์แวร์ SaaS
  • สามารถเข้าใช้ผ่านเว็บ Browser ผ่านอุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์พีซี เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (Laptop) หรือโทรศัทพ์มือถือ โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ที่เครื่องของผู้ใช้ 
  • ระบบหลักของ SaaS จะถูกควบคุมจากผู้ให้บริการ SaaS เอง โดยผู้ใช้บริการเพียงแค่ access เข้ามาด้วย Username และ Password เพื่อระบุตัวตนเท่านั้น
  • SaaS คิดค่าบริการตามจำนวนผู้ใช้งานและระยะเวลาที่ต้องการใช้งาน โดยจะไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการช่วยเหลือ ค่าแก้ไขบั๊กของโปรแกรม การอัพเดทต่างๆ เพิ่มเติม 
  • การปรับแต่งซอฟต์แวร์ตามลักษณะการใช้งานสามารถทำได้ผ่านโปรแกรม แต่หากผู้ใช้งานต้องการปรับแต่งคุณสมบัติพิเศษ อื่นๆ เฉพาะเพิ่มเติม จำเป็นต้องว่าจ้างโปรแกรมเมอร์ที่มีความเชี่ยวชาญกับโครงสร้างของแอพลิเคชั่นนั้นๆ ปรับแต่งให้ 
  • มีลักษณะการใช้งานที่ง่าย มีคู่มือการใช้งานที่ละเอียดและมีหลายภาษา เพื่อรองรับผู้ใช้งานจากทั่วโลก

ตารางเปรียบเทียบการใช้ซอฟต์แวร์แบบ License และ SaaS
ซอฟต์แวร์แบบ License (เก่า)
ซอฟต์แวร์แบบ SaaS
ค้่าใชจ่ายในการลงทุนลงทุนสูงใสช่วงแรกต้องเตรียมเงินทุน มากในการซื้อ Hardware, ซอฟต์แวร์ License, ค่าดูแลรักษาระบบ ทำให้ไม่สามารถ ประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ก่อนล่วงหน้าลงทุนต่ำในช่วงแรกไม่ต้องลงทุนสำหรับ Hardware, ซอฟต์แวร์ License และค่าดู แลรักษาระบบ มีค่าใช้จ่ายที่แน่นอน ตายตัว เป็นรายเดือน ทำให้สมามารถตั้ง Budget ได้ง่ายกว่า
ความเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ผู้ซื้อจ่ายครั้งเดียว มีสิทธิ์เป็นเจ้าของซอฟต์แวร์โดยถาวรผู้ซื้อ เป็นแค่ ผู่เช่า เพื่อใช้ซอฟต์แวร์ ตามระยะเวลา ที่จ่ายค่าบริการไป และไม่มีสิทธิ์ เป็นเจ้าของซอฟต์แวร์โดยถาวร
ทรัพยากรบุคคลด้านไอทีต้องการทีมงาน IT ที่มีความเชียวชาญเนื่องจากซอฟต์แวร์ ที่มีความซับซ้อน ทำให้บริษัทต้องมีทีม IT ที่คอยดูแล สำหรับการติดตั้ง และคอยดูแลรักษาระบบในแต่ละวันต้องการแค่ผู้ประสานงาน IT Hardware และซอฟต์แวร์ทำงานอยู่ในฝั่งผู้ให้บริการ ดังนั้นผู้ซื้อแค่จัดเตรียมคนที่มีพื้นฐานด้าน IT เพียงเล็กน้อยในการติดต่อกับบริษัทผู้ให้บริการ ก็๋เพียงพอ
ความรวดเร็วติดตั้งเพื่อเพิ่มใช้งาน เตรียมการนานเป็นเดือน ความเชี่ยวชาญมีน้อยกว่า ทำให้่ผู้ซื้อต้องวางแผนการจัดซื้อ Hardware และยอมรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง อาจใช้เวลาถึง 1-2 เดือนก่อนล่วงหน้าในการติดตั้ง และืทดสอบความปลอดภัยเตรียมการแค่ 5 นาที เพราะผู้ใช้บริการมี Hardware และซอฟต์แวร์ที่อยู่ภายใต้การ ควบคุมอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ซื้อจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยว กับการติดตั้ง และความปลอดภัยของระบบ
ความน่าเชื่อถือและการการ์รันตีขึ้นอยู่กับทีม IT และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ขององค์กร

ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ ต้องอาศัยความเชื่อใจ และนโยบายของผู้ให้บริการในการแก้ไขปัญหา ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้
  
ประโยชน์ด้านผู้ให้บริการ     
     1. สามารถบริหารจัดการและควบคุมซอฟต์แวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
     2. ลดปัญหาการก๊อบปี้ซอฟต์แวร์จากซีดีได้ 100% เพราะลูกค้าจ่ายเงินตามการใช้งานจริง และได้รับเพียง Username และ Password ในการล็อคอินเพื่อเข้าใช้งานซอฟต์แวร์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต
     3. ลดต้นทุนในการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขายซอฟต์แวร์ เช่น ค่าแผ่นซีดี ค่าผลิตแผ่นซีดี กล่องแพ็คเกจ ค่าขนส่ง หน้าร้าน ฯลฯ
     4. สามารถเรียนรู้พฤติกรรมการใช้ซอฟต์แวร์ของลูกค้าได้อย่างละเอียดและ Real time
     5. สามารถอัพเดท ปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์ได้ง่าย เพราะสามารถทำที่ฝั่งผู้ให้บริการได้ทันที
     6. ลดปัญหาการติดต่อสอบถามปัญหาการใช้งานของลูกค้าที่เกิดจากการติดตั้ง และการใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ไม่ถูกต้อง 
     7. ทำให้เกิดการผูกติดกับลูกค้าในระยะยาว เนื่องจากฐานข้อมูลที่สำคัญของลูกค้าถูกเก็บไว้ที่ฝั่งผู้ให้บริการ 

ประโยชน์ด้านผู้ซื้อ     
     1. ลดต้นทุนในการซื้อซอฟต์แวร์ เพราะมีลักษณะการคิดค่าบริการแบบ Pay-as-you-go คือจ่ายตามระยะเวลาที่ใช้งานจริง ไม่ต้องจ่ายก้อนใหญ่ทีเดียว
     2. ลดต้นทุนในการซื้อฮาร์ดแวร์ เช่น Server, Harddisk เพราะทั้งหมดนี้ผู้ให้บริการจะเป็นผู้รับผิดชอบ
     3. ลดต้นทุนในการจ้างทีมงาน IT ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อการติดตั้ง ดูแลรักษาระบบและแก้ปัญหาซึ่งจะตามมาด้วยค่าสวัสดิการต่างๆ 
     4. ลดเวลาในการวางแผน ติดตั้ง และดูแลรักษาในระยะยาวเพียงแค่จ่ายค่าบริการ ผู้ซื้อสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ที่ต้องการได้ทันที
     5. สะดวกในการเข้าใช้ เพราะสามารถเข้าใช้ซอฟต์แวร์ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านเว็บเบราเซอร์
     6. ไม่ต้องคอยอัพเดทโปรแกรมด้วยตัวเอง เพราะผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลให้ทั้งหมด

ข้อจำกัดด้านการใช้งาน     
     1. ไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์ เช่น หากองค์กรนั้นๆ มีระบบภายในแต่เดิมที่ซับซ้อน หรือ หากองค์กรนั้นๆ มีระบบ SaaS อื่นที่ใช้อยู่ การให้ทุกระบบนั้นเชื่อมโยงกันได้อย่างสมบูรณ์เป็นไปได้ยาก เพราถูกพัฒนากันคนละแพลตฟอร์ม 
     2. การปรับแต่ง (Customization) ยังต้องอาศัยโปรแกรมเมอร์ในการปรับคุณสมบัติให้ตรงตามความต้องการของธุรกิจ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่าย เพิ่มเติมในส่วนนี้ เพราะบางองค์กรอาจจะมีกระบวนการดำเนินธุรกิจที่ซับซ้อน 

ตัวอย่างซอฟต์แวร์ SaaS     
            Salesforce.com (http://www.salesforce.com/) คือผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ SaaS ประเภท CRM ก่อตั้งขึ้นในปี 1999 โดยผู้บริหารของ หลายปีที่ผ่านมา Salesforce เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมีลูกค้าที่เป็นสมาชิกกว่า 77,300 รายทั่วโลก และในปี 2010 ได้รับการคัดเลือก ให้เป็นอันดับหนึ่งด้านผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ CRM สำหรับองค์กรขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ จากนิตยสาร CRM (http://www.destinationcrm.com/Articles/ReadArticle.aspx?ArticleID=68708) บริการ SaaS ที่น่าสนใจได้แก่ Sales Cloud, CRM Cloud, Chatter, Force.com ซึ่งมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดเป็นบริการประเภท SaaS เหมือนกัน
             Netsuite.com (http://www.netsuite.com) คือผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ SaaS ประเภท ERP, CRM, Inventory และ E-Commerce ซึ่งจะครอบคลุมกว่า Salesforce เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ ที่ทาง Netsuite ให้บริการอยู่ได้อย่างครบวงจร เรียกได้ว่าสามารถทำงาน ได้เทียบเท่ากับระบบ ERP ที่เป็นแบบติดตั้ง (Premise ERP) แบบเดิมได้อย่างเต็มรูปแบบ

ตัวอย่างหน้าจอซอฟต์แวร์ Netsuite CRM+      จากภาพตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า รูปแบบหน้าตาซอฟต์แวร์แบบ SaaS แทบจะไม่ต่างจากซอฟต์แวร์ แบบ License แต่อย่างใด ต่างกันเพียงแค่การเข้าใช้ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เท่านั้น โดยการพิมพ์ URL เพื่อเข้าสู่หน้า Login เพื่อเข้าสู่ระบบ โดยภายในระบบ Netsuite จะมีเมนูในการจัดการเมนูและการจำกัดสิทธิ์ ผู้เข้าใช้งาน เช่น พนักงานขาย พนักงานฝ่ายการตลาด ผู้จัดการ ผู้บริหาร เพื่อเห็นหน้าสรุปข้อมูลที่จัดแสดง อยู่ในรูปแบบ Dashboard หน้าแรกที่แตกต่างกันตามลักษณะการใช้งาน


จากภาพตัวอย่าง 
      เป็นการแสดงหน้าจอ Dashboard ของพนักงาน ฝ่ายการตลาดที่ต้องการ เห็นข้อมูลที่แตกต่างจากฝ่ายขาย เช่น อาจจะต้อง การดูกำไรที่ได้จากการจัด แคมเปญทางการตลาดต่างๆ หรือดูยอดขาย เทียบกับ KPI ของตนเอง ว่าบรรลุแล้วหรือยัง เป็นต้น

บทสรุป SaaS     
           ในปัจจุบัน แนวคิด SaaS ถูกนำไปใช้กับการเข้าใช้เว็บไซต์ทั้งในรูปแบบการให้บริการฟรี และแบบคิดค่าใช้จ่าย ตัวอย่างบริการฟรี อาทิเช่น Hotmail, Yahoomail, Facebook, Twitter เป็นต้น แต่หากมองถึง SaaS ที่เป็นแบบคิดค่าใช้จ่าย เช่น Netsuite, Salesforce, CRMonDemand เป็นต้น ความคาดหวังของผู้ซื้อหรือผู้ใช้บริการย่อมแตกต่างกัน เพราะการใช้แอพพลิเคชั่นจำเป็นต้องพึ่งผู้ให้บริการแต่เพียงฝ่ายเดียว หากเกิดกรณีที่ระบบล่ม หรือซอฟต์แวร์ไม่สามารถเข้าใช้งานได้ ธุรกิจอาจจะเกิดผลกระทบได้ ดังนั้น ระบบแอพลิเคชั่นจะต้องมีความเสถียรสูง ที่จะรองรับการใช้งานพร้อมกันทั่วโลก ผู้ใช้งานสามารถที่จะทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 7 วัน 

     การตัดสินใจซื้อซอฟต์แวร์ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์แบบ License หรือ SaaS จำเป็นต้องพิจารณาถึงข้อดีข้อเสีย และลักษณะของธุรกิจว่าเหมาะสม กับประเภทไหนมากกว่ากัน โดยเฉพาะการลงทุนซอฟต์แวร์ประเภท License นั้นบริษัทไม่ได้ลงทุนแค่เฉพาะ License อย่างเดียว แต่เป็นการลงทุน ในด้านอื่นๆ อีกไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายด้าน Hardware ค่าจ้างทีมงาน IT ค่าดูแลรักษาระบบ ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหล่า นี้เมื่อนำมาวิเคราะห์ถึงความคุ้มค่าและความ ปลอดภัยแล้ว อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่หากธุรกิจจะหันมาใช้ซอฟต์แวร์ในลักษณะ SaaS ก็อาจจะต้องพิจารณาถึงความเสถียร นโยบายในการแก้ปัญหาแบบทันท่วงที หรือแม้แต่การจ่ายเพิ่มเพื่อปรับแต่งซอฟต์แวร์ ฯลฯ เพื่อหาจุดคุ้มทุน มากที่สุดและส่งผลดีกับธุรกิจมากที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตัวอย่างองค์กรที่นำมาใช้

ตัวอย่างองค์กรที่นำมาใช้

-Amazon “Elastic Compute Cloud” (EC2) เป็นระบบปฏิบัติการบนเว็บไซต์ เรียกว่า เว็บเซอร์วิส เป็นบริการเว็บที่ให้ความจุและสามารถปรับขนาดได้

-Facebook เลือกใช้ Amazon EC2 สำหรับการขยายความสามารถของระบบให้รองรับจำนวนผู้ใช้จำนวนมากที่เข้ามาใช้ Facebook Application ที่บริการบน Facebook พร้อมๆ กัน

-GoGrid เป็นผู้ให้บริการ Cloud Computing อีกแห่งหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ Amazon EC2 ก็ได้จัดเตรียมเครื่องมือสำหรับสร้างคอมพิวเตอร์เสมือนตามแต่ผู้ใช้ต้องการ ผ่านหน้าเว็บของ Gogrid และยังสนับสนุนระบบปฏิบัติการหลายยี่ห้อทั้ง Linux และ Windows เป็นการให้บริการในรูปแบบ Cloud IaaS (Infrastructure as a Service) สามารถใช้งานทุกอย่างผ่านอินเตอร์เน็ต

-IBM Corporation specifically “Blue Cloud” เป็นวิธีการแชร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันของ IBM โดยมีวัตถุประสงค์คือ การให้บริการที่ตอบสนองความต้องการแบบอัตโนมัติ


-New York Times “Timesmachine” ใช้บริการของ Amazon EC2 ในการสังเคราะห์ข่าวและจัดเก็บข่าวตั้งแต่ ค.ศ.1851 ทั้งนี้การรวบรวมข่าวจำเป็นต้องมีการแปลงข้อมูลของข่าว และเนื่องจากข่าวมีจำนวนมหาศาลจึงต้องใช้พลังในการประมวลผลเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย






ข้อดี & ข้อจำกัด & ความปลอดภัย

ข้อดี
1.         ลดค่าใช้จ่าย
2.         ง่ายต่อการสร้างระบบและขยายขนาดจัดเก็บ
3.         บริการสารสนเทศ (Information)
4.         ขจัดปัญหาเรื่องการดูแลระบบทรัพยากรสารสนเทศ
5.         มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้
5.           มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้

ข้อจำกัด
1.         เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา
2.         มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างซับซ้อน
3.         การขาดมาตรฐานเปิด (Open Standard)
4.         ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
5.         ความน่าเชื่อถือของบริษัท


ความปลอดภัยบนระบบ Cloud Computing
1.         รู้ว่าใครต้องเข้าระบบ และเข้าเพื่ออะไร
2.         2. จำกัดความสามารถในการเข้าถึง
3.         3. เพิ่มความปลอดภัยในอุปกรณ์ที่จะเข้าถึง

4.         4. ระบบตรวจสอบการเข้าใช้งาน

ประเภทของ Cloud Computing

ประเภทของ Cloud Computing

1.ตามกลุ่มผู้ใช้
     -Cloud ระดับองค์กร ตัวอย่าง Cloud Library เช่น OCLC (Online Computer Library Center) เป็นองค์กรที่พยายามนำห้องสมุดทั้งหมดมาเชื่อมโยงกัน ปัจจุบัน OCLC กำลังพัฒนาระบบ Cloud LCIS, Cloud OPAC คือ เมื่อค้นหนังสือแล้ว ผลค้นจะแสดงรายการให้เห็นว่าหนังสืออยู่ที่ประเทศใดบ้าง เป็นต้น
     -Cloud ระดับบุคคล/บริการ เช่น Gmail เป็น Cloud ของ Google ส่วน Facebook, Meebo, Hotmail เป็น Cloud ของ Microsoft
     -Cloud ผสมผสาน เช่น Dropbox เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการเก็บไฟล์ส่วนบุคคล ผู้ใช้สามารถใส่ไฟล์ใดๆ เข้าไปในพื้นที่ฝากไฟล์ และสามารถดาวน์โหลดจาก URL นั้นได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกันได้หลายคน ทำให้ได้ไฟล์ที่ต้องการโดยไม่ต้องใช้ handy drive และสามารถแบ่งปันให้ผู้ใช้ทั่วไปดูหรือเลือกเฉพาะไฟล์ที่ต้องการเผยแพร่ได้

2.ตามการให้บริการ
          -Public Cloud เป็นการใช้บริการการเข้าถึงข้อมูลรูปแบบต่างๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ผ่านการให้บริการของผู้ให้บริการสาธารณะ มักจะเป็นบริษัทไอทีรายใหญ่ เช่น Google, Amazon, IBM และ Microsoft ซึ่งการจัดการข้อมูลสามารถทำให้เป็นแบบเปิดหรือปิดเป็นความลับได้
          -Private Cloud เป็นการใช้งานภายในองค์กร ทั้งข้อมูลและแอพพลิเคชั่นจะถูกจัดเก็บไว้อย่างปลอดภัยบน Data Center ซึ่งผู้ใช้บริการเป็นผู้บริหารจัดการระบบ สามารถปรับเปลี่ยนระบบต่างๆได้ด้วยตนเอง ผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ติดตั้งและดูแลรักษาให้เท่านั้น จึงช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับองค์กร
           -Hybrid Cloud เป็นการผสมผสานกันระหว่าง Private Cloud และ Public Cloud เลือกแบ่งการทำงานเป็นส่วนๆ ได้ โดยมีความสามารถทั้งสองแบบ


3.ตามประเภทของเทคโนโลยี
            -SaaS (Software as a service) เป็นรูปแบบการให้บริการใช้ซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่นบน Cloud ทำให้ผู้ใช้ที่ออนไลน์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตใช้บริการซอฟต์แวร์เหล่านี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ไว้ที่หน่วยงานหรือคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ Applications บน Cloud เช่น G-mail,
Google Apps, Facebook, Dropbox
                        -Google Document ให้บริการโปรแกรมใช้งานในออฟฟิศต่างๆ สามารถทำงานพื้นฐานทุกประเภทได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการทำรายการสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย การเรียงลำดับตามคอลัมน์ การเพิ่มตาราง รูปภาพ ข้อคิดเห็น สูตร เปลี่ยนแบบอักษรและอื่นๆ การสร้างเอกสารหรืออัพโหลดข้อมูลสามารถทำได้ง่าย เพราะมีหน้าตาที่คล้ายกับโปรแกรมออฟฟิศทั่วไป ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยรองรับรูปแบบไฟล์ที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่ ได้แก่ DOC, XLS, ODT, ODS, RTF, CSV และ PPT เป็นต้น และการใช้งาน Google Document นั้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
                        -ระบบการรับ-ส่งอีเมล์ และบริการซอฟต์แวร์ เช่น Hotmail, Yahoo Gmail, Facebook และAmazon เป็นต้น เพียงล็อคอินเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตและสมัครเปิดเข้าใช้บัญชีอีเมล์ของผู้ให้บริการข้างต้น ก็สามารถใช้งานรับ-ส่งอีเมล์ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่จำเป็นต้องลงโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ใดๆ ในเครื่อง
           -IaaS (Infrastructure as a Service) เป็นการให้บริการเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของระบบ เช่น หน่วยประมวลผล (Processing Unit) เครือข่ายข้อมูล (Network) ระบบเก็บข้อมูล (Storage) หรือพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ (Hosting) ผู้ใช้บริการจะสามารถเช่าเวลาในการประมวลผล ซื้อเวลาและขนาดของ ช่องสัญญาณในการส่งข้อมูล หรือขนาดของพื้นที่เก็บข้อมูลจากผู้ให้บริการได้ Hardware บน Cloud เช่น Amazon,Dropbox
           -PaaS (Platform as a service) บริการแพลทฟอร์ม คือให้บริการนักพัฒนาในการพัฒนาโปรแกรม โดยผู้รับบริการสามารถพัฒนาโปรแกรมระบบ ได้แก่ บริการ Google App Engine ซึ่งผู้รับบริการสามารถสร้างโปรแกรมประยุกต์ประเภท Web Application บนเว็บที่มีอัตราการเข้าชมสูง โดยไม่ต้องจัดการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอัตราการเข้าชมที่สูง การเขียนโปรแกรมนั้นนักพัฒนาสามารถใช้ภาษา Java หรือ Python แล้วโฮสต์โปรแกรมบน Server ของ Google ได้โดยมีค่าบริการตามจำนวน Transaction หรือ Data storage Platform พัฒนาซอฟต์แวร์
บน Cloud เช่น Microsoft Azure





Grid Computing & Utility Computing

           Grid Computing คือวิธีการประมวลผลที่เกิดจากการแชร์ทรัพยากร(อย่างเช่น CPU สำหรับการประมวลผล)ระหว่างองค์กรหรือหน่วยงานที่ใช้นโยบายแตกต่างกันไป (คนละบริษัทหรือคนละแผนก) อย่างเช่น องค์กร A กับองค์กร B ต้องการแชร์คอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งเพื่อประมวลผลโปรแกรมหรือระบบงานเดียวกัน เมื่อองค์กรที่แตกต่างแชร์ทรัพยากรร่วมกันย่อมมีนโยบายที่ไม่เหมือนกัน เช่นการกำหนดสิทธิและขอบเขตในการใช้ทรัพยากรที่แตกต่างกัน เป็นต้น และจำเป็นต้องอาศัยระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงความต้องการระบบ Single-Sign-On (หรือการล็อกอินครั้งเดียว แต่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้หลายเครื่องหรือใช้โปรแกรมได้หลายโปรแกรม) ทั้งนี้ เนื่องจากมีคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่แตกต่างกันเข้ามาเกี่ยวข้อง ระบบuser accountในการล็อกอินเข้าใช้งานระบบย่อมไม่เหมือนกัน จึงต้องพึ่งพาระบบ Single-Sign-On นั่นเอง

            Utility Computing เป็นหลักการแชร์ทรัพยากรที่คล้ายกับGrid computing เพียงแต่ว่าทรัพยากรจะถูกมองเสมือนว่าเป็นบริการสาธารณูปโภค (เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา และโทรศัพท์) โดยบริการเหล่านี้ ผู้ใช้สามารถจ่ายเงินเพื่อใช้งานได้ตามที่ต้องการ และเวลาจ่ายเงิน ก็จ่ายตามจำนวนหรือช่วงเวลาที่ใช้งานจริง